วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สถานการณ์และปัญหาสิ่งแวดล้อม

สาระสำคัญ









          การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วและพฤติกรรมการบริโภคทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย รวมทั้งการปล่อยปละละ
เลยสภาวะแวดล้อม ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น และทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ









ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง









          • บอกสถานการณ์และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของโลกในปัจจุบัน
          • บอกสถานการณ์และปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในประเทศไทยในปัจจุบัน









          เราก็สามารถจำแนกปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สังคมมนุษย์กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ 3 ปัญหาใหญ่ ๆ คือ
          1. ปัญหาการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ
          2. ปัญหามลภาวะหรือมลพิษทางสิ่งแวดล้อม
          3. ปัญหาการทำลายระบบนิเวศ























ภาพที่ 4.1 การปล่อยควันพิษขึ้นสู่อากาศ อีกสาเหตุของมลพิษทางอากาศ













           ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมสามารถเกิดขึ้นทุกพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ประชากรอาศัย
อยู่หนาแน่น และในพื้นที่ดังกล่าวปัญหาความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมก็จะมากด้วย



















ภาพที่ 4.2 น้ำท่วม เป็นผลจากการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์











          ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท ความหนาแน่นของประชากรในเขตเมืองจะ
เป็นตัวเร่งทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมเร็วและรุนแรงขึ้น โดยที่คนในเมืองจะมีลักษณะของการใช้ทรัพยากรมากกว่าใน
ชนบท อัตราส่วนการใช้ทรัพยากรของคนในเมืองจะสูงกว่าคนชนบท ดังนั้น ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมืองจึงเกิดการใช้ทรัพยากรของบุคคลและการผลิตของเสียจากการใช้ทรัพยากร 
ส่วนปัญหาสิ่งแวดล้อมในเขตชนบท การเพิ่มความต้องการด้นที่อยู่อาศัย อาหาร มีผลทำให้มีการบุกรุก
ทำลายป่าสงวน เพื่อนำไม้มาสร้างที่อยู่อาศัย และเพื่อขยายพื้นที่การเพาะปลูก การตัดไม้ทำลายป่าก่อให้เกิดผลเสีย
ตามมามากมาย เช่น ปัญหาฝนแล้ง น้ำท่วม ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ความสูญเสียด้ายผลผลิตทางการเกษตร
เป็นต้น




4.1 สถานการณ์และปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก




          ปัจจุบันโลกประกอบไปด้วยประชากรมนุษย์ประมาณ 5,926 ล้านคน (พ.ศ.2541) ประเทศที่มีขนาดใหญ่
และมีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีประชากรประมาณ 1,243 ล้านคน มนุษย์มี
ความต้องการปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ในขณะที่ความต้องการปัจจัยพื้นฐานในการ
ดำรงชีวิตของประชากรเพิ่มมากขึ้น แต่ทรัพยากรที่สามารถสนองความต้องการของประชากรนั้นอยู่ในสภาพที่คงที่ และหลายอย่างลดลง บางอย่างสูญพันธ์หรือหมดไป และที่ผ่านมามนุษย์พยายามตักตวงการใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างฟุ่มเฟือย มีการใช้สารเคมีก่อให้เกิดสารพิษตกค้างกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็น
วิกฤตการณ์ เป็นภัยวิบัติรุนแรงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เองและต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ของโลก
          การประชุมสหประชาชาติที่กรุงสต็อกโฮม ประเทศสวีเดน เมื่อมิถุนายน พ.ศ. 2515 ว่าด้วยสิ่งแวดล้อม
มนุษย์ ได้มีการจัดตั้ง โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งประชาชาติ (UNITED NATION ENVIROVENT -
PROGRAMME) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า UNEP ขึ้น และกำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปีเป็น วันสิ่งแวดล้อมโลก
( WORLD ENVIROVENT DAY)




4.1.1 ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า




          การที่ประชากรเพิ่มจำนวนมากขึ้น ต้องการพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ ประชากรที่มีที่ดินน้อยหรือไม่มีที่ดิน
บุกรุกป่า เพื่อเสาะแสวงหาที่ดินทำกินเพิ่มขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนพื้นที่ป่าไม้ให้เป็นที่เพาะปลูก การทำ
ไร่เลื่อนลอย การเผา การทำฟืน การค้าซุง ทำให้พื้นที่ป่าไม้สำคัญถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
         
จากการสำรวจพบว่า ทั่วโลกมีการทำลายพื้นที่ป่าไม้วันละ 390 ตารางกิโลเมตร โดยเฉพาะพื้นที่ป่าไม้เขต
ร้อน ประเทศที่มีการตัดไม้ทำลายป่าส่วนใหญ่เป็นประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา เช่น อินโดนีเซีย เนปาล ไทย เป็นต้น
          
การตัดไม้ทำลายป่ามีผลเสียต่อแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร แหล่งผลิตก๊าซออกซิเจนแหล่งใหญ่ของโลก เป็นการ
ทำลายหน้าดินและปุ๋ยธรรมชาติ นอกจากนี้ยังทำให้สัตว์และสิ่งมีชีวิตหลายชนิดสูญพันธุ์จากโลก








ภาพที่ 4.3 หน้าดินถูกทำลายจากการที่ปริมาณป่าไม้ลดลง




4.1.2 ปัญหาความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำจืด




          ในประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิล ไทย อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มีสาเหตุมาจากการ
ทำลายป่าไม้เพื่อการเกษตรซึ่งทำให้เกิดการชะล้างพังทลายของดินลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำขุ่นข้นและตื้นเขินแล้ว นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากกิจกรรมทางการเกษตรและอุตสาหกรรม

การขยาย ตัวของเมืองและชุมชน ทำให้มีการปล่อยทิ้งของเสียลงสู่แหล่งน้ำ เป็นเหตุทำให้แหล่งน้ำต่าง ๆ มีคุณภาพเสื่อมลงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและเป็นอันตราย ต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
4.1.3 ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน
          
เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น ความต้องการใช้ที่ดินของมนุษย์เพื่อสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นที่ผลิตอาหาร
และเพื่อกิจกรรมอื่น ๆ ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่มนุษย์ขาดการจัดการเรื่องการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม และใช้อย่าง
ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ จึงก่อให้เกิดปัญหาการชะล้างพังทลายและการสูญเสียหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ในหลายๆ
พื้นที่
            
ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน นอกจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาหน้าดินถูกชะล้างพังทลายแล้ว ยังมี
ปัญหาอื่น ๆ อีก เช่น ปัญหาดินจืด ดินเปรี้ยว ดินเค็ม ดินทรายจัด ดินตื้น เป็นต้น ปัญหาดินเสื่อมโทรมเหล่านี้ปัจจุบัน
ได้ขยายตัวไปอย่างกว้างขวางจนเป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขปรับปรุงได้

4.1.4 ปัญหาการกลายสภาพเป็นพื้นที่แห้งแล้ง

          
พื้นที่บนโลกจำนวนมากกำลังกลายเป็นทะเลทราย ด้วยสาเหตุทางธรรมชาติและจากการกระทำของมนุษย์ ภาวะนี้เกิดขึ้นในพื้นที่แห้งแล้งที่ไม่มีฝนตกเพียงพอแก่การเกษตร และไม่มีระบบชลประทานเข้าไปถึงในประเทศที่
มีพื้นที่กว้างขวาง และมีบางส่วนแห้งแล้งตามธรรมชาติ เช่น จีน อินเดีย อิหร่าน
4.1.5 ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ
          
อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น นับเนื่องจาก พ.ศ. 2531 เป็นต้นมา โลกประสบสภาวะอากาศวิปริตร้อนจัดทั่วโลก โดยเฉพาะใน พ.ศ. 2534 มีผู้เสียชีวิตเพราะอากาศร้อนและแห้งแล้งหลายร้อนคนในประเทศปากีสถานและ อินเดีย มลภาวะความร้อนนั้นมีสาเหตุส่วนใหญ่จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจากอินทรีย วัตถุ ซากสัตว์และพืช ในรูปของถ่าน
หิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ยิ่งคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซต่าง ๆ ถูกเผาไหม้ลอยตัวไปรวมกันในบรรยากาศมาก
ขึ้นเท่าใด ความร้อนและความแห้งแล้งที่จะเกิดขึ้นกับโลกก็จะมากขึ้น








ภาพที่ 4.4 น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลาย เตือนภัยมหันตภัยโลก




              การที่คาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซต่าง ๆ ถูกเผาไหม้ลอยไปรวมตัวกันในบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกสกัด
กั้นความร้อนที่จะระเหยออกไป ทำให้พื้นผิวโลกร้อนหรืออบอุ่นมากขึ้นเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก
( Greenhouse effect )
ซึ่งมีผลกระทบอย่างรุนแรง นั่นคือโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะใน
ทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรปตอนใต้และไซบีเรีย เพราะอาณาบริเวณดังกล่าวบรรยากาศรองรับคาร์บอนไดออกไซด์
เข้มข้นกว่าบริเวณอื่น
              นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในสิ้นศตวรรษหน้าอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 1.3
ถึง 4.5 องศาเซลเซียส และน้ำทะเลจะสูงขึ้นประมาณ 20 เซนติเมตร ภายใน ค.ศ.2030



ไม่มีความคิดเห็น: