สาเหตุสำคัญที่มีส่วนทำให้สภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนแปลงไปดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน มีหลายประการ
ด้วยกัน เช่น
1. การเพิ่มจำนวนของประชากรอย่างมากและรวดเร็ว ปัจจุบันประชากรโลกเพิ่มขึ้นรวมวินาทีละ
3 คน หรือประมาณ 90 -100 ล้านคนต่อปี และสำหรับประเทศไทยประชากรเพิ่มขึ้นปีละเกือบ 1 ล้านคน ถึงแม้การรณรงค์เรื่องการวางแผนครอบครัวจะได้ผลดี แต่ปริมาณการเพิ่มของประชากรก็ยังอยู่ในอัตราทวีคูณ ความ
ต้องการบริโภคทรัพยากรจึงเพิ่มมากขึ้นทุกด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ที่อยู่อาศัย และพลังงานทำให้ประเทศ
ทั้งหลายโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาต้องเผชิญกับความยากไร้ ขาดแคลนอาหาร คนไม่มีงานทำเพิ่มมากขึ้น การขยายตัวของเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มนุษย์พยายามเสาะแสวงหาและนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ทุก
วิถีทาง ทำให้สภาพสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงทุกขณะ
2. ความต้องการใช้ทรัพยากรและวัตถุเพิ่มมากขึ้น การ ที่ประชากรเพิ่มมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องจัดหาปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตมนุษย์ เพื่อยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่และสวัสดิการของประชากร ส่วนใหญ่ประเทศกำลังพัฒนาจะนำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาใช้อย่างปราศจาก การพิจารณาถึงผลกระทบด้านอื่น ๆ เช่น การทำลายป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการทำเกษตรกรรม การใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงเพื่อเพิ่มผลผลิต รวมทั้งส่งทรัพยากรออกขายต่างประเทศเป็นจำนวนมาก เป็นต้น เพื่อหาเงินตรามาใช้ในการพัฒนาประเทศ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติหมดไปอย่างรวดเร็ว ระบบนิเวศวิทยาได้รับความกระทบกระเทือนอย่างยิ่ง และนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่พึงปรารถนา 3. วิถีชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะพฤติกรรมของมนุษย์เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อ
สนองความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ให้ดีขึ้น มนุษย์จึงได้ทำลายทรัพยากรต่าง ๆ เป็นจำนวน
มากอย่างต่อเนื่อง เช่น การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อนำมาสร้างที่อยู่อาศัย ใช้ไม้ในการทำเชื้อเพลิงความต้องการใช้
พลังงานจากน้ำ เชื้อเพลิง แร่ธาตุ ฯลฯ การบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อใช้ที่ดินสำหรับการทำนา การเพาะปลูก ฯลฯ พฤติกรรม
และวิถีการดำรงชีวิตของประชากรในแต่ละประเทศจะเป็นตัวบ่งชี้อย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมในประเทศนั้น การใช้
ทรัพยากรธรรมชาติโดยปราศจากการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
ของประชากรโดยตรง
4. ความไม่ทัดเทียมในการกระจายตัวของประชากร การที่โรงงานอุตสาหกรรมและแหล่งความ
เจริญส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเมืองจึงเป็นแรงดึงดูดอย่างหนึ่งทำให้ประชากรในเขตชนบทอพยพเข้าสู่เขตเมือง ทั้งนี้
เพื่อแสวงหางานทำ เพื่อสภาพเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การอพยพของคนจำนวนมากเข้าสู่เขตเมืองทำให้
สังคมในเมืองมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น นำไปสู่สภาพความเป็นอยู่ที่แออัดการให้บริการด้านสาธารณูปโภค เช่น น้ำ
ประปาไฟฟ้า การเก็บขยะมูลฝอย ที่อยู่อาศัย ฯลฯ ไม่เพียงพอกับความต้องการนำไปสู่ความเสื่อมโทรมด้าน
สิ่งแวดล้อม เกิดปัญหาสุขภาพอนามัยและปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย
5. การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ขาดมาตรการควบคุมที่ดีพอ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรให้
เพียงพอกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร มนุษย์ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้อย่างมากมาย เช่น การใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี ในการเพาะปลูกและกำจัดศัตรูพืช การกระทำดังกล่าวเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจก็จริง แต่การทำให้มีสารพิษตก
ค้างทั้งในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ พืช และทำให้ระบบนิเวศวิทยาเปลี่ยน
แปลงไป นอกจากนี้ยังเป็นการทำลายสมบัติของดิน ทำให้ดินเสื่อมสภาพ และส่งผลเสีย ทำให้มลภาวะด้านต่าง ๆ อยู่
ในระดับความรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อสรรพสิ่งทั้งหลายอีกด้วย
6. การพัฒนาเศรษฐกิจ ความต้องการพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นตัวกระตุ้นอย่างหนึ่ง
ให้รัฐเร่งรัดพัฒนาอุตสาหกรรม มีการกระทำดังกล่าวเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจก็จริง แต่ก็บำรุงรักษา ทำให้ทรัพยากร
สภาพเสื่อมโทรม ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากความต้องการพัฒนาประเทศอย่าง รวดเร็ว คือ ประเทศไทย ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 – 3 ได้เน้นการขยายตัวด้านอุตสาหกรรมเป็น
หลัก ทำให้มีโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น ในพ.ศ. 2512 มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรม 631 โรง แต่
เมื่อถึง พ.ศ. 2532 มีโรงงานอุตสาหกรรมถึง
51,500 โรง จนถึง พ.ศ. 2544 มีโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 102,723 โรง ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเวลาเพียง 3 ปี
เท่านั้น และคาดว่าใน พ.ศ. 2544 จะมีโรงงานเพิ่มถึง 59 % การเพิ่มขึ้นอย่างมากของโรงงานอุตสาหกรรมก่อให้
เกิดความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมอย่างกว้างขวาง เช่น ปัญหามลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ ปัญหาสารเคมีและ
การอุตสาหกรรม เป็นต้น นอกจากนั้นการบีบคั้นทางด้านเศรษฐกิจก็เป็นแรงผลักดันทำให้คนบางกลุ่มฉวยโอกาส
กอบโกยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายจนเสียสมดุล |
|
|
|
|
4. ภาวะประชากรและปัญหาสิ่งแวดล้อม |
|
|
|
|
ภาวะประชากร หมายถึง รายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประชากรในด้านจำนวนประชากรการ
เจริญพันธุ์หรือการเกิด และการตาย ดังได้กล่าวแล้วในรายละเอียดข้างต้น
การเพิ่มของประชากรโลกเมื่อเปรียบเทียบเป็นรายประเทศแล้ว พบว่าแตกต่างกันไปบ้างซึ่งเราสามารถ
แยกความแตกต่างของอัตราการเพิ่มของประชากรได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามสภาพการพัฒนาของประเทศ คือ
กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ประเทศในทวีปยุโรป เป็นต้น อัตราการเพิ่มประชากรในกลุ่มนี้
ค่อนข้างต่ำ คือ ร้อยละ 1 ต่อปี และ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศในทวีปแอฟริกา ประเทศในทวีปเอเชีย รวมทั้งไทยด้วย อัตราการเพิ่มประชากรในกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง คือสูงกว่าร้อยละ 1 ต่อปีขึ้นไป ซึ่งกลุ่มประเทศทั้ง 2 ก็มี
ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันไป
1. ประชากร การอุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อมในประเทศพัฒนาแล้วปัญหาสิ่งแวดล้อมมิได้
เกิดขึ้นเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาเท่านั้น ประเทศที่พัฒนาแล้วก็มีปัญหา เช่นกัน ถึงแม้ว่าประเทศเหล่านั้นจะมี
เทคนิคและวิทยาการที่จะให้ได้มาซึ่งอาหารที่เพียงพอแก่ความต้องการของประชากรที่มีอยู่ และอัตราเพิ่มของ
ประชากรจะไม่สูงเท่าประเทศกำลังพัฒนาก็ตาม แนวโน้มที่พบทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาก็
คือ ชุมชนเมืองขยายตัวและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากประชากรในเขตเมืองเพิ่มจำนวนขึ้นทุกขณะ และมี
แนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต รวมทั้งมีประชากรย้ายถิ่นเข้ามาเป็นจำนวนมาก
การเปลี่ยนแปลงการกระจายตัวประชากรในเขตเมืองทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
ของเขตเมือง เพราะเขตเมืองจำนวนมากจะพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้การผลิตทางอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพื่อตอบ
สนองให้ทันกับความต้องการในการบริโภคของประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้เขตเมืองเป็นที่รวมของแรงงานประชากรที่
ย้ายถิ่นจากพื้นที่หลายส่วนของประเทศเกิดสภาพความแออัดและเสื่อมโทรม ทำให้สภาวะแวดล้อมในเขตเมืองได้
รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่ประชากรอพยพเข้ามามาก และเกิดภาวะมลพิษขึ้นอ้นเป็นผลกระทบจากการ
คิดค้นเอาเทคโนโลยีมาใช้ในการเร่งรัดการผลิตทางอุตสาหกรรม |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การเพิ่มจำนวนประชากรเป็นปัญหาหลักที่โยงใยไปถึงคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาขีดจำกัด
ของทรัพยากรที่คนต้องใช้ในการดำรงชีวิตปัญหาการรักษาระดับความกว้าวหน้าทางเศรษฐกิจกับการทรุดโทรมของ
สภาพแวดล้อมที่จะตามมา ผลสะท้อนของการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาจะเกิดมลพิษสูง
และรุนแรงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว สำหรับประเทศไทยปัญหาที่จะพบในอนาคตคือ การขาดแคลนที่ดินสำหรับการ
เกษตร ปัญหาเครื่องอุปโภคมีราคาแพงสืบเนื่องจากอุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน และปัญหาพลังงานเชื้อเพลิงที่ทั้งขาด
แคลนและมีราคาแพง |
|
|
|
|
5. ประชากร การเกษตร และสิ่งแวดล้อมในประเทศกำลังพัฒนา |
|
|
|
|
ในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทยประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมที่ต้องใช้ประโยชน์จาก
พื้นดินเป็นส่วนใหญ่ เมื่อประชากรเพิ่มจำนวนมากขึ้น เนื่องจากอัตราเพิ่มประชากรสูงก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาและแรง
กดดันในเรื่องทำมาหากินมากขึ้น โดยพื้นที่ใดมีประชากรมากเกินไป หรือการแบ่งสรรที่ดินเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียม
กันก็จะทำให้เกิดแรงกดดันที่ประชากรบางส่วนต้องย้ายออกจากพื้นที่ เพื่อแสวงหาที่ดินทำกินเพิ่มขึ้นให้เพียงพอแก่
ความต้องการ ทั้งเพื่อที่จะใช้บริโภคเองและเพื่อผลิตเป็นสินค้าส่งออกสำหรับประชากรที่ยากจนไม่มีที่ดินเป็นของตน
เองนั้นก็จะถูกบังคับกลาย ๆ ให้เป็นผู้ทำลายแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่อันจำกัดนั้นในรูปของการทำไร่เลื่อนลอย
เผา และถากถางพื้นที่ป่า การบุกรุกพื้นที่ป่าของประชากรที่ยากจนเพื่อแสวงหาอาหาร น้ำ เชื้อเพลิง และอาหาร
สำหรับสัตว์เลี้ยง ประกอบกับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของกลุ่มประชากรนี้ทำให้เกิดการทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาลใน
อัตราที่รวดเร็วเกินกว่าที่จะสามารถปลูกทดแทนได้ทัน โดยเฉพาะวิธีการถากถางพื้นที่ป่าไม้เพื่อหาที่ทำกินด้วยการ
เผา เป็นวิธีการที่เร่งให้เกิดความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างมาก เพราะส่งผลให้ผิวดินสูญเสีย
ความอุดมสมบูรณ์ เป็นการทำลายเศรษฐกิจในระยะยาว การทำลายป่าอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องเป็นเวลานานจะ
ทำให้เกิดความแห้งแล้ง มีผลทำให้เกิดการขยายตัวของพื้นที่ที่กลายเป็นทะเลทรายออกไปในวงกว้างขึ้นทุกที และ
เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้นก็จะนำไปสู่การทำลายทรัพยากรทั้งพืชและสัตว์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ
และระบบนิเวศ
นอกจากนี้การเพิ่มของประชากรยังก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมตามอีกด้วย ปัญหาทาง
เศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาการว่างงาน และปัญหาการมีรายได้ต่ำหรือไม่มีรายได้ ส่วนปัญหาทางสังคม คือ
ประชากรขาดที่พักอาศัย ขาดแคลนอาหาร สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสาธารณูปโภคมีให้ไม่เพียงพอ และ
ปัญหาสังคมอื่น ๆ เช่น โจรผู้ร้าย อาชญากรรม ยาเสพย์ติด โสเภณี เป็นต้น |
|
|
|
|
6. ประชากร การเกษตรและอุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย |
|
|
|
|
ประเทศไทยมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากในอดีต แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ จากแผน
ภูมิการเพิ่มประชากรข้างล่างนี้จะเห็นว่า การเพิ่มประชากรจาก พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2523 เท่ากับ 12.57 ล้านคน แต่จากพ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2533 เท่ากับ 5.69 ล้านคน ในช่วงระยะเวลา 10 ปีเท่ากัน ทั้งๆ ฐานประชากรม
ีมากขึ้น แสดงว่านโยบายลดจำนวนประชากรของประเทศประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงต้องมีมาตรการลดจำนวนการเกิดให้น้อยลงอีก และลดจำนวนการตาย
ให้น้อยลงด้วย ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะประเทศไทยมีประชากรที่ประสบกับความอดอยากหรือขาดแคลนอาหารในทางตรง
ข้ามประเทศไทยยังมีผลผลิตทางการเกษตรที่เหลือส่งออกหลายชนิด แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะพื้นที่อาจพบบริเวณที่ประชากรยังมีความอดอยากมากบ้างน้อยบ้างกระจายอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในเขตชนบทยากจนที่มีลักษณะทางกายภาพ สังคม และเศรษฐกิจเป็นปัจจัยจำกัดในการเพาะปลูก ซึ่งถ้าปล่อยให้มีการเพิ่มประชากรโดยปราศจากการควบคุม ในไม่ช้าประชากรส่วนใหญ่ของประเทศก็จะประสบกับสภาวะขาดแคลนอาหารได้ดังนั้นรัฐจึงต้องหามาตรการควบคุมการเพิ่มของประชากรที่ดี เพื่อเป็นการลดความต้องการเพิ่มของประชากรที่ดี เพื่อความเป็นการ
ลดความต้องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและรัฐควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรด้วย
|
|
|
|
ภาพที่ 2.6 การทำไร่เลือนลอยและบุกรุกป่า อีกปัญหาหนึ่งของสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย |
|
|
|
มนุษย์ได้เปรียบกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่มีความสามารถและประสบความสำเร็จในด้านการสร้างสภาพ
แวดล้อมใหม่ให้กับตนเอง เพื่อการอยู่อาศัยได้ในหลาย ๆ ท้องที่ไม่ว่าจะเป็นที่ร้อนหรือหนาว ซึ่งความร้อนความหนาว
ของอากาศไม่เป็นอุปสรรคต่อการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถใช้เทคโนโลยีในการป้องกันผลกระทบ
จากดินฟ้าอากาศได้
นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการเรียนรู้ พัฒนา เปลี่ยนแปลง และประยุกต์เครื่องมือเครื่องใช้ใหม่ ๆ
ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมีขึ้นมาใช้ในการเกษตร มีการเสาะหาพืชพันธุ์ใหม่ พันธุ์สัตว์ที่สามารถให้ผลผลิตมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้มนุษย์เรามีอิทธิพลในการควบคุมหรือกำหนดทิศทางของธรรมชาติได้มิใช่น้อย ดังนั้นมนุษย์จะต้องตระหนักว่า การพัฒนาเทคโนโลยีใด ๆ ก็ตาม จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมนุษย์เป็นส่วน
หนึ่งของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
|
|
|
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น