วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม

สาระสำคัญ



       สิ่ง แวดล้อมที่อยู่รอบตัวมนุษย์มีทั้งสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ มนุษย์สร้างขึ้น สิ่งแวดล้อมเหล่านี้มีความสำคัญและคุณประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์เป็น อย่างมาก เมื่อใดที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ และการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์



ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง



1. บอกความหมาย ประเภท และความสำคัญของสิ่งแวดล้อมทั้งยกตัวอย่างสิ่งแวดล้อมประเภทต่าง ๆได้
2. บอกความหมายและประเภทของสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบได้
3. บรรยายความสำคัญและประโยชน์ของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติที่สำคัญ คือ ดิน น้ำ อากาศแร่ธาตุ พลังงาน ป่าไม้
    และสัตว์ป่าได้
4. บอกความหมายและประเภทของสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบได้
5. บรรยายความสำคัญและประโยชน์ของสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขั้น ทั้งส่วนที่เป็นสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและ
    สิ่งแวดล้อมทางสังคมได้



        ในสถานการณ์โลกปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้นตามลำดับมนุษย์จึงควรศึกษาและทำความเข้า
ใจเกี่ยวกับความหมาย ประเภท ความสำคัญ และผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตในแนวคิด
เรื่องระบบนิเวศวิทยา เพราะทุกชีวิตที่เกิดบนโลกต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันในการดำรงชีวิต การศึกษาเรื่องนี้จะนำ
ไปสู่การสร้างจิตสำนึกเพื่อให้เกิดความรัก ความหวงแหน เสริมสร้างให้รู้จักใช้สิ่งแวดล้อมอย่างชาญฉลาด เพื่อให้
ทรัพยากรสิ่งแวดล้ออยู่ยั่งยืนตลอดไป



1. ความหมายของสิ่งแวดล้อม



       สิ่งแวดล้อม ือสิ่งต่างๆ ี่อยู่รอบตัวมนุษย์ ซึ่งมีทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปธรรม (จับต้องและมองเห็น
ได้) และนามธรรม (จับต้องไม่ได้และมองไม่เห็น) ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น
        ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการ
ดำรงชีวิตได้ ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ ดิน น้ำ ป่าไม้ สัตว์ป่า อากาศ แร่ธาตุ และพลังงาน



2. ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม



        ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมนั้นจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ก็ล้วนก่อให้เกิดประโยชน์และโทษต่อสิ่งมีชีวิตได้ทั้งสิ้น  
        1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพหรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เช่น น้ำใช้เพื่อการบริโภคและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ อากาศใช้เพื่อการหายใจของมนุษย์และสัตว์ ดินเป็นแหล่ง
ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบนบก แสงแดดให้ความร้อนและช่วยในการสังเคราะห์แสงของพืช
        2. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ จะช่วยปรับให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของ
มันได้ เช่น ช่วยให้ปลาอาศัยอยู่ในน้ำที่ลึกมากๆได้ช่วยให้ต้นกระบองเพชรดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้
        3. สิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม เช่น มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่
        4. สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เช่น เมื่อสัตว์กินพืช
มีจำนวนมากเกินไปพืชจะลดจำนวนลง อาหารและที่อยู่อาศัยจะขาดแคลน เกิดการแก่งแย่งกันสูงขึ้นทำให้สัตว์
บางส่วนตายหรือลดจำนวนลงระบบนิเวศก็จะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งหนึ่ง
        5. สิ่งแวดล้อม จะกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อม ในแง่ของการถ่ายทอด
พลังงานระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ย่อยสลาย ในแง่ของการอยู่ร่วมกัน เกื้อกูลกัน หรือเบียดเบียนกัน มนุษย์สามารถใช
้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมได้มากมาย ในลักษณะที่แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น ใช้ประโยชน์จากดินเพื่อการ
เพาะปลูก ใช้ประโยชน์จากทุ่งหญ้าเพื่อการเลี้ยงสัตว์ ใช้ประโยชน์จากเหมืองแร่เพื่อการอุตสาหกรรม  
3. ประเภทของสิ่งแวดล้อม







        สิ่งแวดล้อมอาจจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็นสิ่งแวดล้อม
ทางกายภาพ และสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ กับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งแบ่งย่อยออกได้เป็นสิ่งแวดล้อมทาง
กายภาพ และสิ่งแวดล้อมทางสังคม











แผนภูมิที่ 1 .1 ประเภทของสิ่งแวดล้อม











3.1 สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ







         สิ่ง แวดล้อมตามธรรมชาติ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ที่เกิดขึ้นหรือมีขึ้นเองตามธรรมชาติ มี 2 ประเภท คือ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ







3.1.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ







         สิ่ง แวดล้อมทางกายภาพ หมายถึง สิ่งทั้งหลายที่อยู่รอบตัวเราที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ในรูปของวัตถุธาตุ อากาศธาตุ และพลังงานต่าง ๆ ทั้งที่มองเห็นได้ และที่มองไม่ได้ แต่สามารถสัมผัสได้ หรือรับรู้ได้ทางโสดประสาท







ดิน







         พื้น ผิวโลกประกอบด้วยพื้นดินและพื้นน้ำ โดยมีส่วนที่เป็นพื้นดินประมาณร้อยละ 30 นอกนั้นเป็นพื้นน้ำ สำหรับประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบในระดับโลกแล้วมีพื้นที่ประมาณร้อยละ 0.36 ของพื้นดินทั้งโลก
         ลักษณะของพื้นผิวโลกที่เป็นพื้นดินมีความแตกต่างกันในแต่ละแห่งแต่ละภูมิภาค เช่น เป็นหิน เป็นดินร่วน
ดินทราย ดินเหนียว ดินลูกรัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสมบัติความเป็นกรดเป็นด่าง หรือ ดินเปรี้ยว ดินเค็มในแต่ละ
พื้นที่ ความแตกต่างดังกล่าวมีผลทำให้พืชพรรณในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกมีลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่อีกด้วย เช่น ทุ่งหญ้าสะวันนาหรือทุ่งหญ้าเมืองร้อนในแอฟริกา ป่าเมืองร้อนในเขตศูนย์สูตรของเอเชีย แอฟริกาและอเมริกา
ใต้ เขตป่าแดงหรือป่าเต็งรังในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เขตป่าไทกา (ป่าสนเขตหนาว) ในรัสเซีย
เป็นต้น การเรียนรู้ความแตกต่างดังกล่าวมีผลต่อความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของประชากรในภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม







การกำเนิดดิน







         ดิน (Soil) เป็นวัตถุธรรมชาติที่ปกคลุมผิวโลกเกิดจากการแปลงสภาพหรือการสลายตัวของหินและแร่ธาตุ
ุต่างๆ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมกับอินทรียวัตถุที่เกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยผุพังผสมคลุกเคล้ากันตาม
ธรรมชาติเกิดเป็นเนื้อดิน 
เนื้อดิน จะมีการเปลี่ยนแปลงสมบัติและองค์ประกอบอยู่ตลอดเวลาซึ่งเป็นผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น กระแสลม กระแสน้ำ ตลอดจนการกระทำของมนุษย์และเมื่อมีน้ำ อากาศในปริมาณที่เหมาะสมก็จะกลาย
เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโตและยังชีพอยู่ได้






สมบัติและคุณภาพของดิน






        ดินในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศ วัตถุต้นกำเนิดดิน และปริมาณ
องค์ประกอบต่าง ๆ ในดิน ทำให้ดินในแต่ละบริเวณมีสมบัติแตกต่างกัน สมบัติของดินที่แตกต่างกันนี้จะเป็นตัว
กำหนดว่าดินแต่ละพื้นที่ควรใช้สำหรับกิจกรรมใด เช่น การเกษตรกรรม การอุตสาหกรรม การคมนาคม การปลูก
สร้างที่อยู่อาศัย เป็นต้น













ภาพที่ 1.1 ดิน เป็นแหล่งทรัพยากรและแหล่งอาหารของมนุษย์










ความสำคัญและประโยชน์ของดิน






          ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญ และมีประโยชน์มากมายมหาศาลต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนผิวโลก
ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติขั้นมูลฐานที่เป็นแหล่งกำเนิดของทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เช่น เป็นแหล่งสำหรับการ
เจริญเติบโตของพืช เป็นแหล่งกำเนิดของแร่ธาตุ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์และสัตว์ เป็นต้น






ความสำคัญของดิน






          1. ประโยชน์ต่อการเกษตรกรรมเพราะดินเป็นต้นกำเนิดของการเกษตรกรรมเป็นแหล่งผลิตอาหารของ
มนุษย์ในดินจะมีอินทรีวัตถุ และธาตุอาหารรวมทั้งน้ำที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอาหารที่คนเราบริโภคใน
ทุกวันนี้มาจากการเกษตรกรรมถึง 90%
         2. การเลี้ยงสัตว์ ดินเป็นแหล่งอาหารสัตว์ทั้งพวกพืชและหญ้าที่ขึ้นอยู่
         3. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นที่ตั้งของเมือง บ้านเรือน ทำให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมของชุมชนต่าง ๆ มากมาย สัตว์บางชนิด เช่น งู แมลง นาก ฯลฯ
         4. เป็นแหล่งเก็บกักน้ำเนื้อดินจะมีส่วนประกอบสำคัญ ๆ คือส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วนที่เป็นของเหลว คือ น้ำซึ่งอยู่ในรูปของความชื้นในดินซึ่งถ้ามีอยู่มาก ๆ ก็จะกลายเป็นน้ำซึมอยู่คือน้ำใต้ดิน น้ำเหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมลงที่ต่ำ เช่น แม่น้ำลำคลองทำให้เรามีน้ำใช้ได้ตลอดปี






น้ำ






         น้ำเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต น้ำเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตได้แก
่พืชและสัตว์ และเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้น้ำยังเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีการเกิดขึ้นทด
แทนอยู่ตลอดเวลา เป็นวัฏจักร 
น้ำที่ มนุษย์ใช้แล้วก็ไม่ได้สูญหายไปไหนแต่จะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกลับมาใช้ได้อีก โดยกระบวนการกลั่น การระเหยของน้ำบนผิวโลก และการรวมตัวในบรรยากาศ ที่เรียกว่า วัฏจักรของน้ำ ซึ่งหมายถึง การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำ






          วัฏจักรของน้ำเริ่มจากเมื่อน้ำจากแหล่งต่าง ๆ เช่น แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร เป็นต้น ได้รับความร้อนจาก
ดวงอาทิตย์ก็จะระเหยกลายเป็นไอลอยขึ้นไปในบรรยากาศ เมื่อไปกระทบความเย็นก็จะกลั่นตัวกลายเป็นละอองน้ำ
เล็ก ๆ เมื่อละอองน้ำเล็ก ๆ มารวมตัวกันมากเข้าก็จะกลายเป็นกลุ่มเมฆ และถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมก็จะเกิด
การควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำตกลงมาเป็นฝน ลูกเห็บ หรือหิมะ กลับคืนสู่พื้นดิน พื้นน้ำ และสิ่งมีชีวิตต่อไป จากนั้น
ก็จะเริ่มต้นด้วยการระเหยใหม่ กระบวนการเช่นนี้จะเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรหมุนเวียนต่อเนื่องกันตลอดเวลา ทำให้มีน้ำ
เกิดขึ้นบนผิวโลกอย่างสม่ำเสมอ ดังรูป













ภาพที่ 1.2 แสดงวัฏจักรของน้ำ










แหล่งน้ำ






         แหล่งน้ำที่มีอยู่บนผิวโลกแบ่งตามคุณลักษณ์และบริเวณที่พบออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ทะเล และมหา-สมุทรน้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน












ภาพที่ 1.3 เขื่อนภูมิพล เป็นแหล่งน้ำที่สามารถสร้างพลังงานไฟฟ้าให้ประเทศมหาศาล






ความสำคัญและประโยชน์ของน้ำ






         1. การอุปโภคบริโภค มนุษย์ต้องการน้ำสะอาดเพื่อใช้ดื่มกิน ใช้ในการประกอบอาหาร ใช้เป็นองค์
ประกอบในยารักษาโรค ใช้ชำระล้างร่างกาย ชะล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ และใช้เพื่อประโยชน์อื่นๆ ในการดำรงชีวิต
ประจำวัน
           2. แหล่งอาหารของมนุษยสิ่ง มีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ เช่น ปลา สัตว์น้ำ และพืชอื่น ๆ ทั้งจากแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็ม นำมาเป็นอาหารของมนุษย์ นอกจากนี้น้ำยังเป็นแหล่งผลิตอาหารให้แก่มนุษย์ โดยใช้เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงปลา กุ้ง และเลี้ยงสัตว์
3. การเกษตรกรรม น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ต่อการเพาะปลูก และสัตว์เลี้ยง
         4. การอุตสาหกรรม น้ำ เป็นปัจจัยสำคัญในขบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ใช้นำเป็นวัตถุดิบ ใช้หล่อเครื่องจักรและระบายความร้อนให้แก่เครื่องจักร ใช้ความสะอาดเครื่องจักรเครื่องยนต์ของโรงงาน ใช้ชะล้าง
กากและของเสียจากโรงงาน เป็นต้น ตลอดจนใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงวัตถุดิบเข้าสู่โรงงาน และขนส่งสินค้าที่
ผลิตได้ออกสู่ตลาด
         5. การคมนาคมขนส่ง แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล และมหาสมุทร ใช้เป็นเส้นทางการคมนาคมขนส่งระหว่าง
บริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่งที่สะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากสามารถขนส่งได้จำนวนมากและเข้าถึงทุกแห่งที่มีแม่
น้ำลำคลอง นอกจากนี้ค่าขนส่งก็ยังมีราคาถูกกว่าการขนส่งทางอื่นด้วย
         6. แหล่งผลิตพลังงาน การไหลของน้ำทำให้เกิดพลังงานขึ้น ซึ่งนำไปใช้เป็นแหล่งในการผลิตกระแสไฟฟ้า
โดยการสร้างเขื่อนกั้นวางลำน้ำ นอกจากนี้เรายังใช้น้ำเป็นพลังงานในเครื่องจักรกลต่าง ๆ อีกด้วย
         7. การนันทนาการและการพักผ่อนหย่อนใจ การเล่นน้ำ การตกปลา การเล่นกีฬาทางน้ำ และการท่อง
เที่ยวตามชายฝั่งทะเล แม่น้ำ น้ำตก หรือตามแหล่งน้ำต่าง ๆ จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดจากภารกิจต่าง ๆ ใน
ชีวิตประจำวันได้




อากาศ




            อากาศ เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ และพืช เช่นเดียวกับดินและน้ำ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนต้องการอากาศหายใจ เพื่อการมีชีวิตอยู่บนพื้นโลก ถ้าขาดอากาศหายใจเพียงไม่กี่นาที มนุษย์จะต้องตาย พืชและสัตว์ก็เช่นเดียวกัน

องค์ประกอบของอากาศ
            ในชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกซึ่งมีความ หนาประมาณ 15 กิโลเมตร นั้นประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน ออกซิเจน ฝุ่นละออง ไอน้ำ และจุลินทรีย์ต่าง ๆ สำหรับก๊าซออกซิเจนถือว่าเป็นก๊าซที่สำคัญที่สุดต่อการดำรงอยู่ของ
สิ่งมีชีวิตในโลก ชั้นบรรยากาศที่มีก๊าซออกซิเจนจนเพียงพอต่อการดำรงชีวิตนั้นมีความหนาเพียง 5 - 6 กิโลเมตร
เท่านั้น บรรยากาศชั้นนี้โดยธรรมชาติจะมีองค์ประกอบของก๊าซต่าง ๆ ค่อนข้างคงที่ ดังตาราง




ตารางที่ 1.1 แสดงส่วนประกอบของอากาศ




องค์ประกอบ
ปริมาณในอากาศ
(ร้อยละโดยปริมาตร)
หมายเหตุ
ไนโตรเจน
ออกซิเจน
อาร์กอน
คาร์บอนไดออกไซด์
ก๊าซอื่น ๆ ฝุ่นละออง ไอน้ำ
78.09
20.94
0.98
0.03
0.01
ก๊าซอื่น ๆ ประกอบด้วยนีออน ฮีเลียมมีเทน คริปทอน ไนตรัสออกไซด์ ไฮโดรเจน ซีนอน ไนโตรเจนไดออกไซด์ และโอโซน




ความสำคัญและประโยชน์ของอากาศ




     1. ใช้ในการหายใจของมนุษย์และสัตว์
     2. ใช้ในการหายใจและกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช
     3. ใช้ในการคมนาคมและการสื่อสาร
     4. ช่วยทำให้เกิดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง
     5. ช่วยป้องกันอันตรายจากรังสีและอนุภาคต่าง ๆ ที่มาจากนอกโลก 
นอกจากที่ กล่าวมา อากาศยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีก เช่น ช่วยปรับอุณหภูมิของโลกให้พอเหมาะสำหรับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต ช่วยทำให้เกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝน ลูกเห็บ เมฆ หมอก เป็นต้น




แร่ธาตุ




        แร่ธาตุ หมาย ถึง สารประกอบอนินทรีย์หรือธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งพบได้ทั้งในดิน ในหิน ในน้ำ และในอากาศ แร่ธาตุส่วนใหญ่จะพบในรูปสารประกอบอนินทรีย์ แต่ก็มีแร่บางชนิดที่พบในลักษณะที่เป็นธาตุแท้ ๆ หรือธาตุอิสระไม่อยู่ในรูปของสารประกอบ ได้แก่ ทองคำ ทองคำขาย และเงิน แร่แต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้บ้างเล็กน้อย แต่อยู่ในขอบเขตที่จำกัดเท่านั้น

ประเภทของแร่ธาตุ
          แร่ธาตุสามารถจำแนกออกได้หลายระบบ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ แต่ระบบที่มักนำมาใช้ คือ ระบบที่จำแนกโดยใช้สมบัติทางด้านฟิสิกส์เป็นเกณฑ์ ซึ่งระบบนี้จำแนกแร่ธาตุได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
          •  แร่โลหะ เช่น ดีบุก ตะกั่ว สังกะสี ทองแดง ทองคำ เงิน เหล็ก อะลูมิเนียม เป็นต้น
          •  แร่อโลหะ เช่น หิน ทราย ยิปซัม แบไรต์ ดินขาว แร่รัตนชาติจำพวกเพชรพลอย กำมะถัน ฟอสฟอรัส
             เป็นต้น
          •  แร่พลังงาน ได้แก่ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม หินน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ยูเรเนียม และแร่นิวเคลียร์








ภาพที่ 1.4 การทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่




ความสำคัญและประโยชน์ของแร่ธาตุ

       1. ใช้ผลิตพลังงานและใช้เป็นเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ ให้ความร้อนใช้หุงต้ม
ในครัวเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม หรือใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องจักรและยานพาหนะ เป็นต้น
       2. ใช้ประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องจักรกล เช่น ทองแดงใช้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เงินใช้ผสมทำเหรียญกษาปณ์ เครื่องใช้ เครื่องประดับ และชุบโลหะ เพชรพลอยใช้ทำเครื่องประดับ โมลิบดีนัมใช้
ผสมเหล็กเพื่อทำเหล็กกล้า ใช้เป็นส่วนประกอบเครื่องมือ ขีปนาวุธ เป็นต้น
       3. ใช้เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินเพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตร เช่น แร่ยิปซัม และแร่ฟอสเฟต ใช้
ประโยชน์ในการทำปุ๋ย เป็นต้น
         นอกจากนี้ แร่ธาตุยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีก เช่น ช่วยให้ประชาชนมีอาชีพมีรายได้ตลอดจนช่วยเสริม
สร้างความมั่นคงของประเทศชาติทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการพลังงาน เป็นต้น 


พลังงาน








แหล่งกำเนิดของพลังงาน








        แหล่งกำเนิดของพลังงานส่วนใหญ่มาจากทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งกำเนิดที่สำคัญของพลังงาน ได้แก่
ดวงอาทิตย์ ความร้อนจากการเผาไหม้ของไม้ฟืนหรือถ่าน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น และในปัจจุบันมนุษย์ได้
อาศัยความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการผลิตมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการนำพลังงานจากแหล่ง
กำเนิดอื่น ๆ มาใช้ เช่น พลังงานความร้อนจากมหาสมุทร พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานจากชีวมวล พลังงาน
จากแสงอาทิตย์ที่มีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน รวมทั้งพลังงานนิวเคลียร์ที่ได้จากเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู
























ภาพที่ 1.5 พลังงานมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์นานัปการ












ประเภทของพลังงาน








พลังงานจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ที่มนุษย์นำมาใช้สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
         1. พลังงานที่ใช้แล้วสูญสิ้นหรือหมดไป( Nonrenewable )หมายถึง พลังงานที่เมื่อนำมาใช้แล้วจะ
หมดไปไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ทดแทนได้ หรือหากจะสร้างขึ้นใหม่ต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานนับล้านปี ได้แก่
พลังงานจากซากดึกดำบรรพ์ที่สำคัญ คือ น้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และหินน้ำมัน
       2. พลังงานทีใช้ได้ไม่สูญสิ้น ( Renewable ) หรือ พลังงานหมุนเวียน มายถึง พลังงานที่เมื่อนำมา
ใช้แล้วยังสามารถผลิตขึ้นมาใช้ใหม่ได้เรื่อย ๆ ตามธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงาน
ลม พลังงานน้ำ พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานความร้อนจากมหาสมุทร และพลังงานจากชีวมวล








ความสำคัญและประโยชน์ของพลังงาน








       1. ใช้ในการคมนาคมขนส่ง เช่น ใช้น้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในยานพาหนะต่าง ๆ เพื่อการเดินทางและขนสิ่งสินค้า
       2. ใช้ในการอุตสาหกรรม เช่น พลังงานความร้อนในการต้มน้ำกลายเป็นไอไปหมุนเครื่องจักรใน
อุตสาหกรรมเคมี เส้นใยสังเคราะห์ และผลิตเยื่อกระดาษพลังงานความร้อนจากการเผาเชื้อเพลิงในเตาอบ
เพื่ออบหรือเผาผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมเซรามิก ปูน อิฐ
         3. ใช้ในการเกษตร พลังงานที่ใช้ในการเกษตรส่วนใหญ่เป็นพลังงานจากน้ำมันปิโตรเลียมซึ่งใช้กับเครื่องจักรกลต่าง ๆ เครื่อง
สูบน้ำ เครื่องสีข้าว รถแทรกเตอร์ เป็นต้น
       4. ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เช่น พลังงานถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
         5. ใช้ในบ้านเรือน พลังงาน ที่นำมาใช้ในบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นพลังงานความร้อนและพลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อนได้มาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงจำพวกไม้ ฟืน ถ่าน น้ำมันปิโตรเลียม และก๊าซธรรมชาติ เช่น ความร้อนจากการเผาไหม้ของฟืนหรือถ่านนำมาใช้ในการหุงต้ม เป็นต้น
 นอกจากนี้มนุษย์ยังนำพลังงานไปใช้ในด้านอื่น ๆ อีก เช่น การก่อสร้าง การทำเหมืองแร่และโรงโม่หินร้าน
อาหาร ภัตตาคาร โรงแรม และอื่น ๆ ซึ่งแต่ละกิจกรรมก็นำพลังงานมาใช้จำนวนมหาศาล พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่มา
จากน้ำมันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ซึ่งเป็นพลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัด และไม่สามารถสร้างขึ้นมาทด
แทนได้ ดังนั้นควรใช้อย่างประหยัด ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากพลังงานเหล่านี้นานๆ








3.1.2 สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ








         สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ หมายถึง สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่รอบตัวเรา ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ และพืช หรือป่าไม้ สิ่งแวด
ล้อมทางชีวภาพที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่สำคัญและก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศได้ถ้ามีการทำลายจนสูญเสีย
ความสมดุล ได้แก่ ป่าไม้ และสัตว์ป่า ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้








ป่าไม้








         ป่าไม้ในทางนิเวศวิทยา หมายถึง สังคมของสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชที่ขึ้นอยู่บนพื้นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์พอ
เพียงแก่การเจริญเติบโตของพืชเหล่านั้น นอกจากนี้ป่าไม้ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่มีอยู่ในพื้นป่าไม้นั้น เช่น จุลินทรีย์ไส้เดือน แมลง สัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ เป็นต้น และสิ่งไม่มีชีวิตที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งมีผล
ทำให้ป่าไม้สามารถอำนวยประโยชน์ได้ทุก ๆ ด้านแก่สังคมมนุษย์ เช่น ภูเขา แม่น้ำ อากาศ แร่ธาตุ ซากพืชซากสัตว์
ที่เน่าเปื่อยทับถมกันอยู่ในพื้นดิน เป็นต้น








ประเภทและชนิดของป่าไม้








        1. ป่าไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีต้นไม้มีใบสีเขียวตลอดปี เมื่อใบเก่าร่วงหล่นไป ใบใหม่ก็ผลิออกมาแทนที่ จึง
เรียกป่าประเภทนี้อีกอย่างหนึ่งว่า ป่าเขียวตลอดปี ป่าประเภทนี้มีอยู่หลายชนิดขึ้นอยู่กับสภาพทางภูมิศาสตร์และ
ลักษณะดินฟ้าอากาศ ได้แก่ ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง และป่าชายเลน
















ภาพที่ 1.6 ป่าดิบชื้น

ภาพที่ 1.7 ป่าสักทอง เป็นป่าประเภทผลัดใบ









        2. ป่าผลัดใบ เป็นป่าที่ผลัดใบในฤดูแล้งซึ่งตรงกับฤดูหนาวหรือเป็นช่วงเวลาที่ความชั้นในอากาศมีน้อย
ผลิใบในฤดูฝน และจะเขียวชอุ่มตลอดฤดูนี้ ป่าประเภทนี้มักขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลในเกิน 1,000 เมตร ได้แก่ ป่าเต็งรัง หรือป่าแดงหรือป่าโคกหรือป่าแพะ และป่าเบญจพรรณหรือป่าผสมผลัดใบ








        3. ป่าลักษณะพิเศษ เป็นป่าที่มีพื้นที่น้อย ต้นไม้ขึ้นกระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ ตามบริเวณที่มีลักษณะ
แตกต่างจากที่อื่น ได้แก่ ป่าชายเลน ป่าพรุ หรือป่าบึงน้ำจืด หรือป่าเสม็ด ป่าสนเขา และป่าทุ่ง 











ภาพที่ 1.8 ป่าพรุ













ความสำคัญและประโยชน์ของป่าไม้








        ป่าไม้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญและอำนวยประโยชน์อย่างมหาศาลต่อธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อมนุษย์ ประโยชน์ของป่าไม้ที่มนุษย์ได้รับนั้นมีทั้งทางตรงและทางอ้อมซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้
1. ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ เป็นแหล่งปัจจัยสี่ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ปัจจัยสี่ได้แก่ อาหาร ที่อยู่
อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ส่วนใหญ่ได้จากป่า เช่น อาหารได้จากสัตว์ และพืชบางชนิด ที่อยู่อาศัยได้จากไม้ ยารักษาโรคได้จากส่วนต่าง ๆ ของพืชและผลผลติจากป่า เป็นต้น
2. ประโยชน์ทางอ้อม ได้แก่ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เป็นแหล่งรักษาสมดุล
ธรรมชาติ เช่น รักษาสภาพบรรยากาศ อนุรักษ์ดินและน้ำ ป้องกันลมพายุ เป็นแหล่งของการหมุนเวียนสารในระบบ
นิเวศ เช่น น้ำ คาร์บอน เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งให้การศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์
        สรุปได้ว่า ป่าไม้มีคุณค่าและประโยชน์นานัปการ ทั้งในเชิงนิเวศวิทยาและในเชิงเศรษฐกิจ ป่าไม้จึงเป็น
ทรัพยากรที่พึงหวงแหนและรักษาไว้ ตลอดจนเสริมสร้างให้เกิดขึ้นอีก การตัดไม้ทำลายป่าย่อมก่อให้เกิดผลกระทบ
มากมาย ทั้งต่อสภาพแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ดิน น้ำ ภูมิอากาศ สัตว์ป่า และต่อสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นจึง
ควรจัดการทรัพยากรป่าไม้เพื่อให้คงสภาพความสมบูรณ์ของระบบนิเวศของโลกไว้








สัตว์ป่า








        ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 หมายถึง สัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์บก สัตว์น้ำ
สัตว์ปีก แมงหรือแมลง ซึ่งโดยสภาพตามธรรมชาติย่อมเกิดและดำรงชีวิตอยู่ในป่าหรือในน้ำรวมถึงไข่ของสัตว์ป่า
เหล่านั้นทุกชนิด ยกเว้นสัตว์พาหนะที่ได้จดทะเบียนทำตั๋วรูปพรรณตามกฎหมายว่าด้วยสัตว์พาหนะ








ประเภทของสัตว์ป่า








        ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ได้แบ่งสัตว์ป่าออกเป็น 2 ประเภท คือ
            1. สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายาก ปัจจุบันมี 15 ชนิด ได้แก่ นำเจ้าฟ้าหญิง สิรินธร แรด กรุซู่
กูปรีหรือโคไพร ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมันหรือเนื้อสมัน เลียงผาหรือโครำ กวางผา นกแก้วแร้วท้องคำ นก-
กระเรียง แมวลายหินอ่อน เก้งหม้อพะยูนหรือหมูน้ำ
          2. สัตว์ป่าคุ้มครอง หมาย ถึง สัตว์ป่าที่ได้รับคุ้มครองตามกฎหมายตามบัญชีรายชื่อใหม่มี 7 จำพวก คือ สัตว์ป่าจำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ป่าจำพวกนก สัตว์ป่าจำพวกเลื้อยคลาน สัตว์ป่าจำพวกสะเทินน้ำสะเทินบกหรือ
กิจการสวนสัตว์สาธารณะสัตว์ป่าจำพวกปลาก สัตว์ป่าจำพวกแมลง และสัตว์ป่าจำพวกไม่มีกระดูกสันหลัง
           
ป่าทั้ง 2 ประเภทนี้ตามกฎหมายไม่อนุญาตให้ล่า ค้า นำเข้า - ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ยกเว้นโดย
ทางราชการ เพื่อการสำรวจ ศึกษาและวิจัยทางวิชาการ หรือเพื่อกิจการสวนสัตว์สาธารณะ


ความสำคัญและประโยชน์ของสัตว์ป่า








        1. เป็นอาหาร เช่น หมูป่า เก้ง กวาง ตะกวด แย้ เป็นต้น นอกจากนี้
อวัยวะของสัตว์ป่าบางอย่าง เช่น นอแรด เขากวาง อุ้งตีนหมี ดีงูเห่า เป็นต้น มนุษย์ได้นำมาเป็นเครื่องยาสมุนไพรและเป็นอาหาร








        2. เป็นเครื่องใช้เครื่องประดับ วัยวะของสัตว์ป่าบางอย่าง เช่น หนัง งา กระดูก เขาสัตว์ เป็นต้น สามารถนำมาทำเป็นเครื่องใช้เครื่องประดับจำพวก
กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ด้ามมีด และอื่น ๆ ได้























4. ด้านวิชาการ สัตว์ป่าบางชนิด เช่น กระแต ลิง หนู เป็นต้น ถูกนำใช้ทดลองเพื่อการศึกษาค้นคว้าและวิจัย
ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ก่อนที่จะนำมาใช้ทดลองกับคน
           นอกจากประโยชน์ดังกล่าวนี้แล้ว สัตว์ป่ายังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก เช่น ด้านนันทนาการและด้านจิตใจ
ด้านการรักษาสมดุลธรรมชาติ เป็นต้น







2. สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น







           สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหรือมีขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ เช่น อาคาร บ้านเรือน ถนน สะพาน โต๊ะ เก้าอี้ เสียง วัฒนธรรมประเพณี ภาษา ศาสนา การศึกษา เป็นต้น

           
2.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
                สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่มนุษย์สร้างขึ้น หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งสามารถจับต้องและมอง
เห็นได้ เช่น อาคาร บ้านเรือน เมือง ยานพาหนะ วัด เจดีย์ สิ่งก่อสร้างและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เป็นต้น
                เพื่อความสะดวกสบายและความอยู่รอด มนุษย์ได้สร้างสิ่งแวดล้อมต่างๆ ขึ้น เช่น ถนน เขื่อน อาคาร
ที่พักอาศัย โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือได้ว่าเป็น สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์เจตนาทำขึ้น ซึ่งมนุษย์มีความ
ประสงค์ที่จะให้ได้ผลผลิตอันมีคุณค่าแก่การดำรงชีวิตของตน แต่ในกระบวนการทางอุตสาหกรรมย่อมจะเกิด
สิ่งแวดล้อมที่ผลผลิตที่มนุษย์ไม่ตั้งใจทำขึ้น เช่น เกิดปัญหาน้ำเสียและน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ปัญหาเขม่า
หรือควันจากโรงงานอุตสาหกรรมลอยขึ้นไปในบรรยากาศ หรือการทิ้งสารเคมีลงในไปในดิน เป็นต้น เหล่านี้ล้วนทำให้
เกิดมลพิษในน้ำ อากาศ และดิน เป็นการทำลายคุณภาพของสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็น สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ไม่มี
เจตนาทำขึ้น







เมืองและความเป็นเมือง














ภาพที่ 1.10 ความแตกต่างระหว่างสังคมเมืองและสังคมชน




ไม่มีความคิดเห็น: